แคลเซียมบำรุงข้อเข่า กินแบบไหนถึงเห็นผล? พร้อมแนะนำวิตามินคู่เสริมที่ต้องมี

แคลเซียมช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกโดยรวม แต่ไม่ได้ช่วยรักษาหรือฟื้นฟูข้อเสื่อมโดยตรง ซึ่งเกิดจากการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนในข้อ การดูแลข้อเข่าเสื่อมจึงต้องเน้นที่การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายที่เหมาะสม และการรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมบำรุงข้อเข่าโดยเฉพาะ อย่างเช่น คอลลาเจนไทพ์ทู หรือกลูโคซามีน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอาหารเสริมอีกหลายประเภทที่ส่งผลดีต่อข้อเข่าที่เราอยากจะให้ทุกคนรู้จักอีกดังต่อไปนี้

ประเภทของแคลเซียมที่ดีต่อข้อเข่า

Calcium Carbonate = ดูดซึมดีเมื่อทานพร้อมอาหาร และมีราคาไม่แพง

Calcium Citrate = ดูดซึมได้ดีแม้ตอนท้องว่าง เหมาะกับผู้สูงอายุ

Calcium L-Threonate = ดูดซึมเร็ว ซ่อมแซมกระดูกได้ลึก

แคลเซียม + วิตามิน D₃ = วิตามิน D ช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้ากระดูก

แคลเซียม + K₂ (MK-7) = ช่วยพาแคลเซียมไปเลี้ยงกระดูกได้ดีขึ้น โดยไม่ตกค้างในหลอดเลือด

ควรเริ่มทานแคลเซียมบำรุงข้อเข่าตอนไหน?

  • อายุ 30 ขึ้นไป =  เริ่มทานอาหารเสริมได้
  • อายุ 40+ =  ควรเสริมคู่กับคอลลาเจน หรือกลูโคซามีน
  • ผู้สูงอายุ =  แนะนำ Calcium Citrate + D3 + K2

เสริมอะไรคู่กับแคลเซียมถึงจะดี?

  1. วิตามิน D₃ ช่วยให้แคลเซียมดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น
  2. วิตามิน K₂ (MK-7) พาแคลเซียมเข้าสู่ “กระดูก” และ “ข้อ” ไม่สะสมในหลอดเลือดหรือนิ่ว
  3. คอลลาเจนไทพ์ทู บำรุง “กระดูกอ่อน” ที่ข้อเข่า ลดเสียงกร๊อบแกร๊บ และอาการปวด
  4. กลูโคซามีน (Glucosamine) ช่วยซ่อมแซมและเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงในข้อ
  5. ขมิ้นชัน, MSM, พริกไทยดำ ลดอักเสบ ปวด บวมในข้อได้

เคล็ดลับดูแลข้อเข่านอกจากกินแคลเซียม

  • ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้ลงเข่ามาก
  • ออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อรอบเข่า เช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ
  • หลีกเลี่ยงนั่งยอง ๆ เป็นเวลานาน
  • พักการใช้ข้อหากมีอาการปวด

ถึงแม้การรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมบำรุงข้อเข่าจะมีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน แต่ก็ควรทานแต่พอดี ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะอาจรบกวนการดูดซึมแร่ธาตุอื่น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตได้ ดังนั้น ไม่ควรได้รับแคลเซียมเกินกว่าปริมาณสูงสุดที่ควรได้รับต่อวันที่  1,500 มิลลิกรัม

ตลาดรถเช่าไทยโตก้าวกระโดด ก้าวสู่ 55,000 ล้านบาทภายในปี 2568

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดรถเช่าเมืองไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราเฉลี่ย 5–8% ต่อปี ส่งผลให้มูลค่าตลาดราว 51,000 ล้านบาทในปี 2566 พุ่งทะยานสู่ 55,000 ล้านบาทในปี 2568 เหตุผลสำคัญมาจากความต้องการเดินทางเป็นกลุ่มที่เพิ่มขึ้น—ทั้งท่องเที่ยว สัมมนา และกิจกรรมองค์กรต่างๆ

บริษัท SP SMART VAN ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้วยบริการรถตู้พร้อมคนขับระดับพรีเมียม พร้อมรถตู้ทันสมัย สะอาด ปลอดภัย และทีมงานขับรถที่ผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานสากล ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหรือผู้บริหารองค์กร

ด้วยแผนขยายฟลีตและนวัตกรรมบริการ SP SMART VAN ตั้งเป้าครองส่วนแบ่งตลาด 10–15% ภายในปี 2568 ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำตลาด และเดินหน้าสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อร่วมขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดรถเช่าไทยอย่างยั่งยืน